คดีระหว่างยูเครนกับสหพันธรัฐรัสเซีย (พ.ศ. 2565)
From Wikipedia, the free encyclopedia
ข้อกล่าวหาการล้างเผ่าพันธุ์ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษอาชญากรรมการล้างเผ่าพันธุ์ (คดีระหว่างยูเครนกับสหพันธรัฐรัสเซีย) เป็นคดีที่ถูกนำขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ยูเครนเป็นผู้เสนอคดีเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 ต่อประเทศรัสเซียหลังการรุกรานยูเครน ในเรื่องพิพาทเกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษความผิดอาญาฐานฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ปี 2491
ข้อกล่าวหาการล้างเผ่าพันธุ์ภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการป้องกันและลงโทษอาชญากรรมการล้างเผ่าพันธุ์ (คดีระหว่างยูเครนกับสหพันธรัฐรัสเซีย) | |
---|---|
Allegations of Genocide under the Convention on the Prevention and Punishment of the Crime of Genocide (Ukraine v. Russian Federation) | |
สาระแห่งคดี | |
ข้อกล่าวหา | รัฐบาลรัสเซียวางแผนการกระทำล้างเผ่าพันธุ์ในยูเครน และการรุกรานของกองทัพรัสเซียเป็นการจงใจฆ่าและทำให้บาดเจ็บอย่างร้ายแรงต่อสมาชิกของชาติยูเครนเป็นการกระทำอันจะเป็นความผิดอาญาภายใต้ข้อ 2 ของอนุสัญญาการล้างเผ่าพันธุ์ฯ |
คำฟ้อง | ขอให้ตัดสินว่ารัสเซียไม่มีเหตุผลชอบด้วยกฎหมายในการกระทำในและต่อยูเครนสำหรับวัตถุประสงค์ของการป้องกันและลงโทษการล้างเผ่าพันธุ์ตามอ้าง[ของรัสเซีย] |
คู่ความ | |
โจทก์ | ยูเครน |
จำเลย | รัสเซีย |
ศาล | |
ศาล | ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ |
ตุลาการ | Donoghue (ประธาน), Gevorgian, Tomka, Abraham, Bennouna, Yusuf, Xue, Sebutinde, Bhandari, Robinson, Salam, Iwasawa, Nolte, Charlesworth, Daudet, Gautier |
สั่ง | |
" ให้รัสเซียยุติปฏิบัติการทางทหาร[ในยูเครน]ทันที " | |
ลงวันที่ | 16 มีนาคม 2565 |
เว็บไซต์ | |
Allegations of Genocide under the Convention on the Prevention and Punishment of the Crime of Genocide (Ukraine v. Russian Federation) |
ศาลฯ นั่งพิจารณาครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2565 ณ วังสันติ อันเป็นที่ตั้งศาลฯ เพื่อตัดสินว่ายูเครนมีสิทธิ์ได้รับความคุ้มครองชั่วคราวหรือไม่[1] ผู้แทนรัสเซียไม่มาเข้าร่วมการพิจารณาคดี[2] แต่ส่งถ้อยแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรมา[3]
ในวันที่ 16 มีนาคม 2565 ศาลฯ วินิจฉัยด้วยเสียงข้างมาก 13–2 ว่ารัสเซียต้อง "ยุติปฏิบัติการทางทหาร[ในยูเครน]ทันที"[4] โดยมีผู้พิพากษาจากรัสเซียและจีนเห็นแย้ง[5] ศาลฯ ยังเรียกร้องเป็นเอกฉันท์ให้ "ภาคีทั้งสองฝ่ายละเว้นจากการกระทำใด ๆ ที่อาจกระตุ้นหรือขยายข้อพิพาทก่อนศาลฯ จัดการคดีได้ หรือทำให้ระงับได้ยากขึ้น"[4]