ทุพภิกขภัยในจะงอยแอฟริกา พ.ศ. 2554
From Wikipedia, the free encyclopedia
ทุพภิกขภัยในจะงอยแอฟริกา พ.ศ. 2554 เป็นทุพภิกขภัย (famine)[2] อันเกิดขึ้นในหลายท้องที่ของจะงอยแอฟริกา เนื่องจากภัยแล้งสาหัสที่เกิดขึ้นตลอดแอฟริกาตะวันออก[4] ภัยแล้งนี้ ว่ากันว่า "รุนแรงที่สุดในรอบหกสิบปี"[5] เกิดจากวิกฤติอาหารซึ่งอุบัติขึ้นทั่วโซมาเลีย, เอธิโอเปีย และเคนยา และยังให้ผู้คนมากกว่า 13.3 ล้านคนผจญทุกขเวทนาในการเลี้ยงชีพ[6] ผู้ที่อาศัยอยู่ทางโซมาเลียตอนใต้จำนวนมากได้อพยพไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เคนยาและเอธิโอเปีย ซึ่งทำให้ทั้งสองแห่งนั้นเกิดแออัด สภาพที่ไม่ถูกสุขลักษณะประกอบกับทุพโภชนาการอย่างรุนแรงเป็นเหตุให้เกิดการเสียชีวิตจำนวนมาก[7] บรรดาประเทศในและรายรอบจะงอยแอฟริกา เป็นต้นว่า จิบูตี, ซูดาน, ซูดานใต้ และยูกันดาบางส่วน ก็เผชิญวิกฤติอาหารนี้เช่นกัน[8][6][9][10]
การคาดคะเนระดับความรุนแรงของวิกฤตของเครือข่ายระบบเตือนทุพภิกขภัยล่วงหน้าในแอฟริกาตะวันออกตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน จากระดับการตอบสนองปัจจุบัน | |
วันที่ | กรกฎาคม 2554 – สิงหาคม 2555 |
---|---|
ที่ตั้ง | โซมาเลีย, เอธิโอเปีย, เคนยา, ยูกันดา และประเทศเพื่อนบ้าน[1] |
เสียชีวิต | มากกว่า 10,000 คน[2] ประเมินมีเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เสียชีวิตในโซมาเลียมากกว่า 29,000 คน[3] |
ทรัพย์สินเสียหาย | ความรุนแรงระดับมหันตภัยในโซมาเลียใต้, ความรุนแรงระดับฉุกเฉินตลอดจะงอยแอฟริกา[1] |
ต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2554 เครือข่ายระบบเตือนทุพภิกขภัยล่วงหน้า (Famine Early Warning Systems Network หรือเรียกโดยย่อว่า FEWS-Net) ประกาศภาวะฉุกเฉินในหลาย ๆ พื้นที่อันไพศาลของโซมาเลียใต้, เอธิโอเปียตะวันออกเฉียงใต้ และเคนยาตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งถ้าปราศจากการประกาศดังกล่าว ก็เป็นที่คาดหมายได้ว่าทุพภิกขภัยจะกินวงกว้างกว่านี้มาก[11] วันที่ 20 เดือนนั้น สหประชาชาติประกาศอย่างเป็นทางการในโซมาเลียใต้ซึ่งภาวะทุพภิกขภัย นับเป็นการประกาศทุพภิกขภัยครั้งแรกหลังทุพภิกขภัยในเอธิโอเปีย พ.ศ. 2527-2528 สืบมา ในครั้งนั้น ชาวเอธิโอเปียมากกว่าหนึ่งล้านคนได้ถึงแก่ชีวิต[2][12] ส่วนในทุพภิกขภัยครั้งนี้ เชื่อว่าผู้คนมากกว่าหนึ่งแสนคนในโซมาเลียใต้ได้จบชีวิตลงก่อนประกาศของสหประชาชาติแล้ว[2] การตอบสนองทางมนุษยธรรมต่อเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นไปอย่างยากเข็ญ เพราะขาดเงินทุนสนับสนุนระดับนานาชาติเป็นอันมาก ประกอบกับความมั่นคงในภูมิภาคประสบภัยก็เป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายหาความวางใจมิได้[2][13][14] ในจำนวนเงินสนับสนุนที่สหประชาชาติร้องขอ 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐนั้น องค์การได้รับแล้ว 63%[15]