วัคซีนโควิด-19 ของออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า
วัคซีนต้านโควิด-19 / From Wikipedia, the free encyclopedia
วัคซีนโควิด-19 ของออกซฟอร์ด-แอสตร้าเซนเนก้า อันมีชื่อรหัสว่า AZD1222[5] มีตราสินค้าต่าง ๆ รวมทั้ง Covishield[16] และ Vaxzevria[1][17] เป็นวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่ใช้ไวรัสเป็นเวกเตอร์หรือเป็นพาหะ และฉีดเข้าในกล้ามเนื้อเพื่อป้องกันโรคโควิด-19 มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าได้พัฒนาขึ้นโดยใช้อะดีโนไวรัสของชิมแปนซีที่ได้ดัดแปลงพันธุกรรมชื่อว่า ChAdOx1[18][19][20][21] งานศึกษาที่ทำในปี 2020 พบประสิทธิศักย์ของวัคซีนที่ร้อยละ 76 ในการป้องกันโรคที่แสดงอาการเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 หลังจากฉีดโดสแรกและร้อยละ 81.3 หลังจากฉีดโดสที่สอง[22] ส่วนงานวิเคราะห์ในปี 2021 พบว่า สำหรับการติดเชื้อที่แสดงอาการ หลังจากได้โดสที่สอง วัคซีนมีประสิทธิภาพร้อยละ 66 ต่อสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) และร้อยละ 60 ต่อสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย)[23]
ขวดวัคซีนโควิด-19 ของมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด-บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า | |
รายละเอียดวัคซีน | |
---|---|
โรคที่เป็นข้อบ่งชี้ | โควิด-19 |
ชนิด | อะดีโนไวรัสของชิมแปนซีที่ดัดแปลงพันธุกรรมเพื่อใช้เป็นเวกเตอร์ |
ข้อมูลทางคลินิก | |
ชื่อทางการค้า | Vaxzevria[1], Covishield[2][3] |
ชื่ออื่น | AZD1222,[4][5] ChAdOx1 nCoV-19,[6] ChAdOx1-S,[7] COVID-19 Vaccine AstraZeneca,[8][9] AstraZeneca COVID-19 Vaccine,[10] AZD2816[11] |
ข้อมูลทะเบียนยา |
|
ระดับความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ | |
ช่องทางการรับยา | ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ |
รหัส ATC |
|
กฏหมาย | |
สถานะตามกฏหมาย | |
ตัวบ่งชี้ | |
เลขทะเบียน CAS | |
DrugBank | |
UNII | |
KEGG | |
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
วัคซีนปลอดภัยดี มีผลข้างเคียงเป็นความเจ็บปวดที่จุดฉีด ปวดหัว คลื่นไส้ ทั้งหมดปกติจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน[24] ที่เกิดน้อยกว่ารวมการแพ้วัคซีนอย่างรุนแรงคือแอนาฟิแล็กซิส (อังกฤษมีรายงาน 268 กรณีจากการฉีดวัคซีน 21.2 ล้านโดสจนถึงวันที่ 14 เมย. 2021)[24] ในกรณีที่มีน้อยมาก (น้อยกว่า 1 ในแสนคน) วัคซีนสัมพันธ์กับการเกิดลิ่มเลือดบวกกับเกล็ดเลือดที่ลดลงต่ำ[25][26] สำนักงานการแพทย์ยุโรป (European Medicines Agency, EMA) ระบุว่า จนถึงวันที่ 4 เมย. 2021 มีกรณีเกิดลิ่มเลือด 222 กรณีภายในเขตเศรษฐกิจยุโรปและสหราชอาณาจักรจากคน 34 ล้านคนที่ได้ฉีดวัคซีน[27]
ในวันที่ 30 ธันวาคม 2020 สหราชอาณาจักรเป็นประเทศแรกที่ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีน[13][28][29] โดยฉีดวัคซีนนอกการทดลองเป็นเข็มแรกในวันที่ 4 มกราคม 2021[30] หลังจากนั้น องค์กรต่าง ๆ ทั่วโลกจึงได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนรวมทั้งสำนักงานการแพทย์ยุโรป (EMA)[1][15] องค์กรควบคุมของออสเตรเลีย (TGA)[7] และองค์การอนามัยโลก[31] จนถึงวันที่ 27 เมษายน 2021 วัคซีนนี้ได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศ 137 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ประเทศบางประเทศได้จำกัดให้ใช้วัคซีนเฉพาะในคนสูงอายุเท่านั้น เพราะผลไม่พึงประสงค์ของวัคซีนที่อาจมีในคนอายุน้อยกว่าแม้จะเกิดน้อยมาก[32]
ในกลางเดือนพฤศจิกายน 2020 คณะรัฐมนตรีไทยได้อนุมัติงบประมาณ 6,000 ล้านบาทเพื่อสั่งจองวัคซีนจากบริษัทจำนวน 26 ล้านโดสโดยจะซื้อในราคา 5 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 151 บาท) ต่อโดส และที่เหลือ (ประมาณ 2,000 ล้านบาท) จะใช้เพื่อดำเนินการและเก็บรักษา[33] จนถึงปลายเดือนเมษายน 2021 พบว่า ไทยได้สั่งวัคซีนชนิดนี้รวมทั้งหมดแล้ว 61 ล้านโดส[34][35] โดยรัฐบาลต้องการให้ส่งวัคซีนในเดือน มิ.ย. 6 ล้านโดส, เดือน ก.ค.-พ.ย. เดือนละ 10 ล้านโดส และเดือน ธ.ค. อีก 6 ล้านโดส ทั้งหมดรวมเป็น 61 ล้านโดส[36][37] ซึ่งพอสำหรับประชากร 30.5 ล้านคนคือประมาณร้อยละ 44 ของประชากรประมาณ 69.56 ล้านคน ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2021 จึงปรากฏว่า บริษัทมีแผนจะส่งวัคซีนให้แก่ไทยเดือนละ 5-6 ล้านโดสเท่านั้น[38][39] ดังนั้น วัคซีนทั้งหมดอาจส่งไม่ครบจนกระทั่งเดือนพฤษภาคม 2022[40]
จนถึงวันที่ 18 กรกฎาคม 2021 ประเทศไทยได้รับวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าทั้งหมด 8,193,500 โดส คือญี่ปุ่นบริจาคให้ 1,053,000 โดสและบริษัทส่งให้ที่เหลือ 7,140,500 โดสโดยส่ง 1,651,100 โดสให้ในเดือนกรกฎาคม[41][42]