สาธารณรัฐออสเตรียที่ 1
รัฐเอกราชในยุโรป (ค.ศ. 1919–1934) / From Wikipedia, the free encyclopedia
สาธารณรัฐออสเตรียที่หนึ่ง หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐออสเตรีย เป็นสาธารณรัฐที่ก่อตั้งขึ้นภายหลังการล่มสลายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ในช่วงแรกสาธารณรัฐมีความพยายามที่จะรวมสหภาพกับเยอรมนี (สาธารณรัฐเยอรมันออสเตรีย) แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกและมหาอำนาจในเวลานั้นอย่างฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรไม่เห็นด้วย[1] สาธารณรัฐดำรงอยู่จนถึง ค.ศ. 1934 และแทนที่โดยสหพันธรัฐออสเตรีย ในท้ายที่สุดออสเตรียก็ผนวกกับนาซีเยอรมนีได้สำเร็จใน ค.ศ. 1938
สาธารณรัฐออสเตรีย Republik Österreich (เยอรมัน) | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1919–1934 | |||||||||
เพลงชาติ: ด็อยท์เชิสแตร์ไรช์ ดูแฮร์ลีแชส์ลันท์ "เยอรมัน-ออสเตรีย คือประเทศที่สวยงาม" (ค.ศ. 1920–1929) ไซเกอเซกเนอท์ โอเนอเอ็นเดอ ("เป็นความสุขที่ไม่มีสิ้นสุด") (ค.ศ. 1929–1934) | |||||||||
สาธารณรัฐออสเตรียที่ 1 ใน ค.ศ. 1930 | |||||||||
เมืองหลวง | เวียนนา | ||||||||
ภาษาทั่วไป | เยอรมัน (ภาษาเยอรมันออสเตรีย) | ||||||||
ศาสนา | คริสต์ (โรมันคาทอลิก, อีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์, โปรเตสแตนต์), ยูดาห์ | ||||||||
การปกครอง | สหพันธ์สาธารณรัฐระบบรัฐสภา | ||||||||
ประธานาธิบดี | |||||||||
• 1919–1920 | คาร์ล ไซทซ์ | ||||||||
• 1920–1928 | ไมเคิล ไฮนิช | ||||||||
• 1928–1934 | วิลเฮ็ล์ม มิคลัส | ||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||
• 1919–1920 (คนแรก) | คาร์ล เร็นเนอร์ | ||||||||
• 1932–1934 (คนสุดท้าย) | เอ็งเงิลแบร์ท ด็อลฟูส | ||||||||
สภานิติบัญญัติ | รัฐสภา | ||||||||
• สภาสูง | สภาสหพันธรัฐ | ||||||||
• สภาล่าง | สภาแห่งชาติ | ||||||||
ยุคประวัติศาสตร์ | ระหว่างสงคราม | ||||||||
10 กันยายน 1919 | |||||||||
• การก่อการกำเริบเดือนกรกฎาคม | 15 กรกฎาคม 1927 | ||||||||
12 กุมภาพันธ์ 1934 | |||||||||
• รัฐธรรมนูญเดือนพฤษภาคม | 1 พฤษภาคม 1934 | ||||||||
สกุลเงิน | โครนออสเตรีย (1919–1924) ชิลลิงออสเตรีย (1924–1938) | ||||||||
| |||||||||
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของ | ออสเตรีย |
ฝ่ายสังคมนิยมได้ครอบงำรัฐบาลสาธารณรัฐจนกระทั่งเดือนตุลาคม ค.ศ. 1920 เมื่ออำนาจถูกเปลี่ยนผ่านโดยพรรคสังคมคริสเตียน[2] ในช่วงสองปีแรกของการครอบงำทางการเมืองโดยฝ่ายสังคมนิยม มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฉบับใหม่และมาตรการทางสังคมต่าง ๆ ได้รับการอนุมัติ[3] หลังจากนั้นพรรคสังคมคริสเตียนได้สร้างพันธมิตรของชนชั้นกระฎุมพีขึ้น เพื่อควบคุมรัฐบาลและกำจัดอิทธิพลของสังคมนิยม ด้วยพันธมิตรที่เข้มแข็งนี้ ทำให้พรรคสังคมคริสเตียนสามารถจัดตั้งคณะรัฐมนตรีได้ตลอดช่วงทศวรรษ 1920[4] อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งในรัฐสภาของฝ่ายสังคมนิยมและความต้องการเสียงข้างมากในการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญและกฎหมายสำคัญอื่น ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้ความพยายามในการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายของพันธมิตรสังคมคริสเตียนไม่ประสบผลสำเร็จ[4] ใน ค.ศ. 1922 ค่าเงินเริ่มมีเสถียรภาพและเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นบางส่วน[2]
ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะในสงครามโลกได้กำหนดให้ออสเตรียเป็นเอกราช แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศจะปรารถนารวมสหภาพกับสาธารณรัฐไวมาร์ใหม่ก็ตาม[1] อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาในการรวมชาติยังคงมีอยู่และปรากฏขึ้นเป็นระยะ ๆ ดังเช่นใน ค.ศ. 1931 เมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ จึงมีการเสนอรวมสหภาพศุลกากรออสเตรีย–เยอรมนี ซึ่งสุดท้ายก็ไม่สำเร็จเพราะมหาอำนาจตะวันตกคัดค้าน[1] การถือกำเนิดขึ้นของรัฐบาลชาติสังคมนิยมในเยอรมนีเมื่อ ค.ศ. 1933 ส่งผลให้การสนับสนุนของประชาชนต่อสหภาพแรงงานลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักสังคมนิยม การลอบสังหารนายกรัฐมนตรีออสเตรียโดยพวกนาซีออสเตรียที่ได้รับการสนับสนุนจากเยอรมนีระหว่างรัฐประหารล้มเหลวใน ค.ศ. 1934 ได้ปลุกเร้าการปฏิเสธพรรคสังคมคริสเตียนและสนับสนุนการรักษาเอกราช[1] หลังจากสองปีของการเป็นปรปักษ์ ในที่สุดรัฐบาลจึงได้บรรลุซึ่งข้อตกลง โดยยินยอมให้พวกชาติสังคมนิยมหรือนาซีมีส่วนร่วมในการบริหารประ แต่ความขัดแย้งก็ไม่ได้ยุติลง[1]
รัฐธรรมนูญออสเตรียมีผลบังคับใช้ใน ค.ศ. 1920 และแก้ไขเพิ่มเติม ใน ค.ศ. 1929 เมื่อฟาสซิสต์ออสเตรียขึ้นสู่อำนาจ จึงมีการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน ค.ศ. 1934 โดยเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศจากสาธารณรัฐออสเตรียเป็นสหพันธรัฐ ด้วยเหตุนี้ นักประวัติศาสตร์บางคนจึงถือว่าสาธารณรัฐที่หนึ่งยุติลงใน ค.ศ. 1934
ตั้งแต่ ค.ศ. 1920 รัฐบาลออสเตรียถูกครอบงำโดยพรรคสังคมคริสเตียน ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคริสตจักรโรมันคาทอลิก นายกรัฐมนตรีคนแรกของพรรคอิกนัทซ์ ไซเพิล พยายามสร้างพันธมิตรทางการเมืองระหว่างนักอุตสาหกรรมที่ร่ำรวยกับคริสตจักรโรมันคาทอลิก แม้ว่าประเทศจะมีพรรคการเมืองที่มั่นคงครองอำนาจอยู่ แต่การเมืองภายในประเทศนั้นกลับมีความแตกแยกและรุนแรง โดยมีฝ่ายประชาธิปไตยสังคมนิยม (เยอรมัน: Republikanischer Schutzbund) และกองกำลังกึ่งทหารฝ่ายขวาจัด (เยอรมัน: Heimwehr) ที่ขัดแย้งกันอยู่อย่างต่อเนื่อง ฝ่ายอนุรักษนิยมได้ดำเนินการทำให้พรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมพ่ายแพ้ในรัฐสภาตลอดทศวรรษ แม้ว่าคะแนนเสียงจะเพิ่มขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ มาก็ตาม[5] มาตรการแบ่งเขตการปกครองออกจากเวียนนาและเสริมอำนาจของเสียงข้างน้อยในรัฐสภาทำให้เกิดการต่อต้านฝ่ายอนุรักษนิยมเสียเอง พรรคประชาธิปไตยสังคมนิยมสามารถควบคุมเมืองหลวงได้ ซึ่งพรรคได้พัฒนานโยบายทางสังคมที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการเก็บภาษีที่สูงซึ่งพวกอนุรักษนิยมวิพากษ์วิจารณ์[6][7]
ในเวลายี่สิบปีของการมีเอกราช ออสเตรียต้องพึ่งพาการเงินจากต่างประเทศอยู่ตลอดเวลา[8] ใน ค.ศ. 1922 เมื่อเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ประเทศจึงร้องขอเงินกู้จากสันนิบาตชาติ ซึ่งแลกกับการยอมรับเงื่อนไขทางการเมืองบางประการ รวมถึงการรักษาอธิปไตยของชาติที่ต่อต้านการรวมสหภาพของเยอรมนีด้วย[9][10] เศรษฐกิจของประเทศยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของต่างประเทศกระทั่ง ค.ศ. 1926[8] แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเติบโตขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากนั้น แต่ไม่นานก็หยุดลงพร้อมกับการมาถึงของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ซึ่งส่งผลร้ายแรงต่อประเทศอย่างยิ่ง[11]